ดอกยาง สิ่งสำคัญในการ ดูแลยางรถยนต์
ดอกยากรถยนต์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกที่บ่งชี้ความสมบูรณ์ของยางรถยนต์ ดังนั้น จึงควรสังเกตสภาพดอกยางของคุณทั้ง 4 ล้อเป็นประจำ อย่างน้อย ๆ ที่สุดเดือนละ 1 ครั้ง โดยหากแท่งบอกอาการสึกของดอกยางปรากฏให้เห็น แสดงว่าถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนยางชุดใหม่แล้ว หากดอกยางสึกเฉพาะด้านนอก หมายความว่าความดันลมยางนั้นอ่อนเกินไปหรือเป็นไปได้ว่าลมยางรั่ว หรือหากยางสึกเฉพาะตรงกลาง เกิดจากความดันลมยางที่มีมากเกินไป หากขับขี่เป็นเวลานาน ผนวกกับสภาพอากาสที่ร้อนจัดของประเทศไทย อาจทำให้ยางระเบิดได้ ควรลดความดันลมยางให้อยุ่ในระดับที่เหมาะสม ข้อดีอีกประการของการตรวจเช็กดอกยาง คือคุณสามารถเห็นสิ่งแปลกปลอมผิดปกติที่บริเวณยางรถยนต์ ที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางรถยนต์ของคุณสึกหรอหรือรั่วได้
หมั่นตรวจเช็กความดันลมยาง
ควรหมั่นตรวจเช็กระดับแรงดันของลมยางอย่างสม่ำเสมอ และพยายามรักษาระดับแรงดันลมยาง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามที่กำหนดอยู่เสมอ โดยหากมีแรงดันลมยางมากเกินไป จะทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนน้อยลง หรือหากมีแรงดันลมยางน้อยเกินไป ทำให้เกิดแรงเสียดทานมากขึ้นและทำให้รถยนต์กินน้ำมันมากขึ้น ดังนั้น การดูแลระดับแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ขับขี่ปลอดภัยมากขึ้นและทำให้อายุการใช้งานของยางรถยนต์ยืนยาวมากขึ้น โดยการตรวจสอบความดันลมยาง สามารถทำได้ดังนี้
1. เตรียมเกจวัดความดันลมยาง หรือใช้ได้ที่จุดบริการต่าง ๆ
2. ควรตรวจสอบความดันลมยางในตอนเช้า หรือเมื่อยางรถยนต์กำลังเย็นอยู่ หากยางรถยนต์ร้อน จะทำให้การตรวจไม่เที่ยงตรง
3. คลายวาล์วหัวสูบลมและเสียบเกจวันบนวาล์ว หากมีเสียงฟู่สั้น ๆ ถือว่ายางปกติ
4. ตรวจสอบค่าความดันลมยาง หากไม่ตรงตามค่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเอาไว้ ให้ปรับความดันลมยางตามความเหมาะสม ด้วยเครื่องอัดลมหรือเครื่องสูบยางที่อู่รถ
5. ตรวจวัดค่าความดันลมยางอีกครั้งให้ตรงกับค่ามาตรฐาน
6. เมื่อความดันลมยางอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว ให้ปิดฝาวาล์ว
สลับยางรถยนต์
ควรสลับยางรถยนต์ของคุณในทุก ๆ 10,000 ถึง 12,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน สาเหตุที่ควรสลับยางรถยนต์นั้นก็เพราะ ยางล้อหน้านั้นสึกหรอเร็วกว่าล้อหลัง การสลับตำแหน่งจะช่วยให้ยางสึกหรอเท่ากันทั้งชุด และทำให้ยางสามารถใช้งานได้นานขึ้น และเมื่อยางมีความสมดุลทั้งชุดก็จะทำให้การควมคุมบังคับรถนั้นง่ายและสะดวกมากขึ้น แต่ต้องเน้นย้ำว่า ความดันลมยางทั้งล้อหน้าและหลังต้องเท่ากัน และอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ยางจึงจะสึกหรอสมดุลเท่ากันทั้งชุดนะคะ
การตั้งศูนย์
การตั้งศุนย์คือการปรับหน้าล้อให้เท่า ๆ กัน ให้มีความสัมพันธ์กันทุกมุม เพื่อให้รถวิ่งได้ตรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะหากตั้งศูนย์ไม่ดี จะทำให้คุณเกร็งในการบังคับพวงมาลัยจนอาจเกิดอาการเมื่อยล้าและก่อให้เกิดอุบัติเหตุตามมาได้ รถที่มีการตั้งศุนย์ดี ๆ สามารถสังเกตได้ง่าย ๆ คือ หากคุณขับรถอยู่แล้วปล่อยมือสัก 5 วินาที รถก็ยังคงวิ่งตรงอยู่ ไม่เอียงไม่เลี้ยงไม่เบี้ยวไปทิศทางอื่น และในขณะเลี้ยว ล้อคู่หน้าต้องเอียงตามความเหมาะสมไม่กินหน้ายางมากเกินไป และต้องให้หน้ายางสัมผัสผิวถนนมากที่สุด เพื่อป้องกันดอกยางศึกไม่เท่ากันนั่นเอง
การถ่วงล้อ
การถ่วงล้อคือการเพิ่มน้ำหนักให้กับล้อแต่ละล้อ เพื่อให้มีความสมดุลมากที่สุด ซึ่งการถ่วงล้อนี้จะช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักอย่างถูกต้องของยางและกะทะล้อ หากล้อไม่สมดุลจะทำให้ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอ และลดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ลงไปได้ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสมรรถนะในการยึดเกาะถนนของยางรถยนต์ และระบบช่วงล่างของรถยนต์ เช่น ลูกปืนล้อและโช๊คอัพด้วย โดยหากคุณรู้สึกว่าพวกมาลัยสั่นเวลาวิ่งบนทางเรียบ แสดงความเกิดความไม่สมดุลต้องรีบดำเนินการถ่วงล้อ
สาเหตุที่ทำให้ยางรถยนต์สึกหรอ
การสึกหรอของยางรถยนต์นั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ บางสาเหตุอาจจะทำให้ยางรถยนต์เกิดความเสียหาย หรือสึกหรอมากผิดปกติเลยก็ได้ สาเหตุเหล่านั้นมีดังนี้
1. ความดันลมยางไม่ถูกต้องตามที่คู่มือกำหนด หรือความดันลมยางข้างซ้ายและข้างขวาไม่เท่ากัน
2. ตั้งแนวศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง
3. ข้อต่อต่าง ๆ ของแกนต่อระบบบังคับเลี้ยว สึกหรอกมากหรือหลวมมากเกินไป
4. แบริ่งล้อหน้าสึกหรอ เสื่อมสภาพ หรือปรับไม่ถูกต้อง
5. ช่วงล่างของล้อหน้าหลวม
6. โช๊คอัพชำรุด หรือฐานยึดหลวมเกินไป
7. ล้อไม่สมดุลหรือยางในแต่ละด้านสึกหรอไม่เท่ากัน
8. สปริงของระบบช่วงล่างชำรุดเสียหาย หรืออ่อนเกินไป
9. เบรกของล้อด้านซ้ายและขวาไม่สมดุลกัน
10. ฐานช่วงล่าง หรือโครงสร้างเสียศูนย์
11. ความไม่ชำนาญในการเลือกเส้นทางของผู้ขับ ทำให้ยางเจอสภาพถนนที่ไม่ดี เสียดสีกับถนนจนดอกยางสึกกร่อน